วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

อธีน่า เทพีแห่งสติปัญญาและชัยชนะเหนือสงคราม

อธีน่า

                   เทพีแห่งสติปัญญาและชัยชนะเหนือสงคราม

     เมื่อพูดถึงเทพเจ้าแห่งสงครามอย่างเทพแอรีสไปแล้ว เราลองมารู้จักพูดคุยถึงเทพีแห่งสงครามพระองค์กันดีกว่า เทพีแห่งสงครามพระองค์คือ "เทพีอธีน่า" เป็นเทพีที่เป็นที่รักแห่งมนุษย์เพราะนิสัยที่เป็นกันเองและไม่ถือตัว และยังมีนิสัยที่ดีมีคุณธรรม จึงเป็นเทพีองค์หนึ่งที่เป็นที่บูชากัน แต่เทพีพระองค์เก่งกาจสามารถทั้งทางด้านวิชาการและการศึกสงคราม ซึ่งว่าได้เทพีองค์หนึ่งเกิดมาผิดยุคผิดสมัย ซึ่งกรีกในตอนนั้นกดขี่สตรีมาก แม้แต่เรียนหนังสือต่างๆและยังเรื่องที่บุรุษก็ไม่ให้สตรียุ่ง
     เหล่าสตรีชาวกรีกจึงบูชาเทพีองค์กันพอสมควร รองจากเทพีเฮร่าซึ่งแน่นอนต้องเป็นเทพีที่นิยมของสตรีอยู่แล้ว แต่บุรุษก็บูชาเคารพเพราะพระองค์เป็นเทพีแห่งชัยชนะเหนือสงคราม อย่างที่บอกไว้ในตอนย่อย เทพแอรีส เทพเจ้าแห่งสงครามไปแล้วว่าชาวกรีกเกลียดสงคราม จึงไม่นิยมบูชาเทพเจ้าแห่งสงครามอย่างเทพแอรีส แต่กลับมาบูชาเทพีแห่งสงครามอย่างเทพีอธีน่าแทน
     เมื่อพระเทพีเป็นที่รักแห่งปวงชน และเป็นพระธิดาองค์โปรดแห่งเทพซีอุส เทพแอรีสซึ่งพระโอรสแห่งเทพซีอุสเช่นกัน แต่มักจะถูกเปรียบเทียบด้วยเสมอ เทพแอรีสจึงอิจฉาริษยาและเกลียดชังเทพีอธีน่าเป็นอันมาก เข้าขั้นเกลียดเข้ากระดูกดำเลยทีเดียว เวลาเจอกันมักจะต่อสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งแต่พระเทพีมักจะชนะเทพแอรีสเสมอเพราะพระเทพีมักใช้สติปัญญามากกว่ากำลัง ซึ่งผิดกันเทพแอรีสที่มักจะใช้กำลังมากกว่าปัญญานั่นเอง
     เทพีอธีน่าเป็นพระธิดาในเทพซีอุสกับเทพีเมทิส เทพีแห่งปัญญา คงเหตุนี้เทพีอธีน่าจึงมีสติปัญญาและได้รับการยอมรับว่าเป็นเทพีแห่งสติปัญญาอีกด้วย พระเทพีพระองค์นี้มีการกำเนิดแบบมหัศจรรย์พิศดารไว้ว่า เทพซีอุสทรงมีความสัมพันธ์กับพระชายาองค์แรกคือ เทพีเมทิส จนเทพีตั้งครรภ์ เทพซีอุสเกลียดคำทำนายว่า "หากเทพีเมทิสให้กำเนิดพระโอรส พระโอรสพระองค์นี้จะโค่นบัลลังก์เทพซีอุส" เมื่อเป็นเช่นนั้นเทพซีอุสเกิดเกลียดในคำทำนายจึงจับเทพีเมทิสกลืนลงท้องไป เวลาก็ผ่านไปนานหลายเดือน เทพซีอุสเกิดป่วยศีรษะขึ้นมาอย่างหนักจนรู้สึกว่าศีรษะจะระเบิดออกมา เทพซีอุสเรียกให้พระโอรสที่ใกล้ที่สุดในตอนนั้นเอาขวานมาจามศีรษะเสีย พระโอรสพระองค์นั้นคือ เทพฮีฟัสทัส ก็นำขวานมาจามแต่พอศีรษะยังไม่แยกดี เทพีอธีน่าก็ย่างก้าวขึ้นมาจากศีรษะและปรากฏแสนยานุภาพให้เหล่าทวยเทพเห็นเป็นที่ประจักษ์ พระเทพีบังเกิดพร้อมกับสวมชุดเกราะสง่างามให้มือถือหอกและโล่ เป็นที่ตื่นตะลึงต่อสายตาแห่งทวยเทพทั้งปวง
     เทพีอธีน่าปรากฏขึ้นบนสรวงสวรรค์ แสงสว่างแห่งความรู้ขจัดความโง่เขลาของมวลมนุษย์บังเกิดนักปรัชญาและนักวิชา พระองค์จึงเป็นที่นับถือในนาม "เทพีแห่งสติปัญญา" ซึ่งมีตำนานตอนหนึ่งที่เทพซีอุสถูกเหล่าปีศาจที่เป็นบุตรแห่งเทพีกีอา ในสงครามระหว่างเทพเจ้ากับอสูร มีอสูรตนหนึ่งที่เกิดจากพื้นดินและมีพลกำลังมากนามว่า"เอนซาลาดัส" ด้วยสติปัญญาแห่งพระเทพีจึงหลอกลอกมันไปยังทะเล ซึ่งมันเกิดมาจากดินพอถูกน้ำก็เสื่อมพลัง เทพีอธีน่าจึงยกเกาะซิซิลีมาทับมันไว้เป็นการกักขังไปตลอดกาล นับได้ว่าทรงเป็นเทพีแห่งสติปัญญาโดยแท้ อย่างที่กล่าวไปแล้วในตอน สงครามระหว่างเทพเจ้ากับอสูร ถึงพระองค์จะดูเข้มแข็งแต่พระองค์ก็มิได้ขาดความเป็นสตรี พระองค์ยังมีฝีมือเป็นเลิศในงานทอผ้าอีกด้วย
     เคยมีตำนานเล่าถึงสตรีนางหนึ่งที่คิดต่อกรเทพีอธีน่าว่าใครจะทอผ้าได้สวยกว่ากัน ผลออกมาว่าเทพอธีน่ามีฝีมือที่เลิศกว่า นางเกิดความอับอายจึงคิดสั้นเพราะกลัวว่าเทพีจะลงทัณฑ์ พระเทพีทรงพระเมตตาชุบชีวิตนางขึ้่น แต่นางก็มิอาจจะพ้นจากการลงทัณฑ์ พระเทพีลงทัณฑ์ไม่ถึงชีวิต แต่สาปให้นางกลายเป็นแมงมุมชักใยอันสวยงามเสมือนทอผ้าไปตลอดกาล
     เมื่อมีธรรมเนียมแห่งเทพว่าจะต้องเป็นเทพคุ้มครองประจำเมือง ซึ่งในช่วงนั้นบังเกิดนครที่งดงามนครหนึ่ง ซึ่งเป็นชนชาวฟินีเชียอพยพมาสร้างบ้านสร้างเมืองที่กรีซ ซึ่งนครนี้กลับเข้าตากรรมการเทพเจ้าสองพระองค์นั้นคือ เทพโพไซดอน กับ เทพีอธีน่า ทั้งสองพระองค์ต่างแย่งที่จะเป็นเทพประจำเมืองที่งดงามนี้ จนเป็นเรื่องเป็นราวเข้าถึงเทพซีอุสต้องมาจัดการ พระองค์ตัดสินว่าให้เทพโพไซดอน กับ เทพีอธีน่าประลองเนรมิตสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่นครหนึ่งคนละอย่าง หากชาวนครเลือกสิ่งที่เนรมิตของเทพอันใด เทพองค์นั้นจะได้เป็นเทพประจำนครนี้ เทพโพไซดอนเนรมิตม้าขึ้นมา เพื่อประโยชน์สามารถเป็นพาหนะใช้เดินทางขนส่ง และ แรงงานทางเกษตร ส่วนเทพีอธีน่าเนรมิตต้นมะกอกซึ่งใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้น ผลออกมาว่า เทพีอธน่าเป็นผู้ชนะ เทพีอธีน่ากลายเป็นเทพแห่งนครหนึ่งโดยสมบูรณ์ พระองค์ประทานชื่อนครนี้ว่า "เอเธนท์" และต้นมะกอกก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของเอเธนท์นับจากนั้นมา
    เทพีอธีน่าทรงเป็นเทพีแห่งสงคราม และชัยชนะซึ่งพระองค์มีเทพีไนกี้ซึ่งเป็นเทพีแห่งชัยชนะสถิตอยู่ด้วยเสมอ เท่ากับว่าพระองค์ทรงมีความสำเร็จและชัยชนะ จึงเป็นที่นับถือบูชาเพื่อหวังให้สงครามได้ชัยชนะ ได้ใช่ว่าพระเทพีจะช่วยหมด พระองค์จะทรงให้เทพีไนกี้โปรยบินเข้าข้างฝ่ายที่มีเหตุผลสมควรที่จะให้ชนะ เช่นเป็นฝ่ายถูกรุกรานพระองค์ก็จะประทานชัยชนะแก่ฝ่ายนั้น
    อย่างในหน้าประวัติศาสตร์และตำนานของกรีก สงครามกรุงทรอย เทพีอธีน่าทรงเลือกเข้าข้างฝ่ายกรีก เพราะกรีกทำสงครามเพราะทรอยซึ่งเจ้าปารีสแห่งทรอยลักพาราชินีแห่งกรีกมานั้นคือ นางเฮเลน หญิงงามแห่งยุค เพราะสาเหตุนี้ที่ทรอยทำตัวแย่ พระเทพีจึงประทานหายนะแก่ทรอย และประทานชัยชนะแก่กรีก จึงเป็นจุดจบแห่งอาณาจักรทรอยที่ยิ่งใหญ่ลง
   แต่บางตำนานว่าพระเทพีทรงไม่เข้าข้างทรอยเพราะต้นเหตุมาจากแอปเปิ้ลทองคำ ที่มันสลักว่า "มอบแก่ผู้ที่งามที่สุด" ซึ่งแอปเปิ้ลนั่นกลิ้งไปกลาง เทพีทั้ง 3 คือ เทพีเฮร่า เทพีอธีน่า และเทพีอโฟรไดทิ ทั้ง 3 พระองค์อยากได้เป็นเจ้าของมันจึงให้เจ้าชายปารีสแห่งทรอยเป็นตัดสิน แต่เจ้าชายปารีสกลับมอบให้แก่เทพีอโฟรไดทิ ซึ่งสร้างความไม่พอพระทัยแก่เทพีเฮร่าและเทพีอธีน่าเป็นอันมาก คงเพราะเหตุนี้พระองค์จึงมุ่งทำลายทรอย
    เมื่อเทพีอธีน่าทรงไปรับว่าเป็นเทพีแห่งสงคราม พระองค์จึงได้รับการนับถือว่าเป็นเทพีที่คุ้มครองเหล่าวีรบุรุษแห่งกรีกอีกด้วยอย่าง
    - ช่วยในภารกิจทั้ง12อย่างของเฮอร์คิวลิส

         - ช่วยเพอร์ซุส ในการสังหารนางปีศาจเมดูซ่า
    - ช่วยโอดีสซีอุสกลับบ้านเมืองอย่างปลอดภัยหลังจากสิ้นสุดสงครามทรอย
    - ช่วยบุตรโอดีสซีอุส "เตเลมาคัส" ตามหาโอดีสซีอุสผู้เป็นบิดาสำเร็จ
     เทพีอธีน่านอกจากทรงเป็นเทพีแห่งสติปัญญา เทพีแห่งชัยชนะเหนือสงคราม เทพีแห่งคหกรรม พระองค์ยังเป็นเทพีแห่งพรหมจรรย์เจริญรอยตามเทพีเฮสเทียผู้เป็นป้าของพระองค์อีกด้วย ถึงพระองค์จะเป็นเทพีที่ครองพรหมจรรย์ แต่ก็มีเรื่องรักๆใคร่ๆเกิดขึ้นกับพระองค์ ตอนนั้นเทพฮีฟีสทัสทรงขอเทพีอธีน่ามาเป็นชายาจากเทพซีอุส เทพซีอุสก็ยินดียกให้ แต่เทพีกลับปฏิเสธเพราะจะครองพรหมจรรย์ แต่วันหนึ่งก็เกิดเรื่องขึ้นกับพระองค์ ตอนนั้นในขณะที่พระองค์อยู่พระองค์เดียว เทพฮีฟีสทัสแอบเข้าปลุกปล้ำเทพีอธีน่า เทพฮีฟีสทัสก็มีสัมพันธ์จนจะสำเร็จถึงจุดสุดยอด เทพีอธีน่าดิ้นหลุดออกจากเทพฮีฟีสทัส น้ำเชื้ออสุจิของเทพฮีฟีสทัสก็หล่นลงสู่พื้นโลก เข้าสู่เทพีกีอา และเทพีกีอาก็ให้กำเนิด "อิริคโธเนียส" ซึ่งเทพีอธีน่าขอรับมาเลี้ยงและพระองค์เอาเด็กน้อยใส่ไว้ในหีบและใส่งูไว้ป้องกัน และพระองค์นำไปฝากพระธิดาท้าวซีครอปส์ และส่งว่าห้ามเปิดออกโดยเด็ดขาด แต่พระธิดากลับไม่เชื่อเปิดออกดูก็ตกใจกลัวงูในหีบและวิ่งหนีด้วยความตายจนตกหน้าผาตาย จากนั้นมา อิริคโธเนียสก็ได้ขึ้นครองเอเธนท์  
     ถึงพระเทพีจะทรงเป็นเทพีครองพรหมจรรย์แต่ก็ยังมีใจให้ชายอื่น อย่างเจ้าชายเบลเลอโรฟอน ถึงกลับมาปรากฏในความฝันและมอบอานม้าทองคำไว้ให้เจ้าชายทรงนั่งบนม้าพีกาซัสได้ ซึ่งเขาว่าเจ้าชายพระองค์นี้เหมือนการกระทำของพระองค์เป็นกรณีพิเศษอะไรแบบนี้จึงคิดกันว่า อาจเพราะเทพีทรงหลงรักในเจ้าชายหนุ่มแต่เจ้าชายหนุ่มก็มีจุดจบด้วยอสุนีบาตแห่งเทพซีอุสด้วย
เทพีอธีน่าทรงมีนางพรายและนางไม้ที่ประพฤติตามพระองค์โดยปฏิญาณว่าจะถือพรหมจรรย์และยังตามรับใช้พระเทพี แต่มีนางพรายนางหนึ่งที่กระทำผิดต่อคำปฏิญาณ นางพรายนางนี้คือ "เมดูซ่า" นางไปมีความสัมผัสกับเทพโพไซดอน พอเทพีอธีน่าทราบก็พิโรธเป็นอันมากถึงกับสาปให้นางมีเส้นผมเป็นงู จากนางพรายที่งดงามจึงกลายเป็นนางปีศาจที่น่ากลัว
     เทพีอธีน่าเป็นแบบอย่างในอุดมคติของสตรีชาวกรีกที่ถูกกดขี่โดยบุรุษ ซึ่งพระองค์์เท่ากับเป็นแสงประทีปแห่งความหวังของพวกเธอที่หวังว่าพวกนางจะได้เป็นเช่นพระองค์ไม่ถูกกดขี่และทำอะไรได้เทียบเท่าบุรุษทั่วไป.... และไม่เห็นพวกนางเป็นเพื่อเครื่องบันเทิงทางอารมณ์บนเตียง จึงทำให้กำเนิดเทพีพระองค์ขึ้นและโลดแล่นในตำนานเทพกรีก...

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

ฮีฟีสทัส เทพเจ้าแห่งการช่าง

ฮีฟีสทัส

                                     เทพเจ้าแห่งการช่าง

          เทพฮีฟีสทัส ทุกคนคงรู้จักในนามว่า เทพวัคแคนมากกว่า ซึ่งเป็นชื่อในทางโรมัน พระองค์เป็นเทพแห่งการช่าง เป็นเทพแห่งช่างทั้งปวง ช่างทุกประเภทจะบูชานับถือ และพระองค์เท่ากับเป็นพระวิษณุกรรมแห่งกรีก ทั้งเคหสถาน ข้าวของเครื่องใช้ไม่ว่าจะไม้เหล็ก เงิน ทองคำ สำริด พระองค์เป็นช่างแห่งสวรรค์มีหน้าที่ผลิตอาวุธและเครื่องประดับ และชุดเกราะให้เหล่าทวยเทพบนโอลิมปัส
     แต่พระองค์กลับไม่สถิตบนนั้น พระองค์มีที่ทำงานเป็นเตาหล่อและห้องตีเหล็กที่เกาะเลมนอส โดยมียักษ์ไซคลอปส์ตาเดียว(บุตรแห่งกีอากับยูเรนัสเท่ากับเป็นลุงของพระองค์เพราะกีอากับยูเรนัสเป็นตาและยายของเทพซีอุสผู้เป็นบิดาของเทพฮีฟีสทัส) เป็นลูกมือช่วยในการสร้างผลงาน พระองค์ทรงมีความสุขกับการทำงานของพระองค์เพราะไม่ได้มาอิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน พระองค์จึงเอาดีทางนี้จนลือชา
     เทพฮีฟัสทัสทรงเป็นพระโอรสในเทพซีอุสกับเทพีเฮร่า แต่พระองค์กลับไม่เป็นเทพเจ้าที่มีรูปลักษณ์งดงาม เพราะพระองค์มีรูปลักษณ์ที่ขาพิการไปข้างหนึ่ง พระองค์จึงมักจะต้องพยุงด้วยไม้เท้าช่วยเสมอ สาเหตุแห่งการพิการนั้นก็มาจากการทะเลาะวิวาทของพระบิดาและพระมารดานั่นเอง ตอนนั้นเทพซีอุสกับเทพีเฮร่าทะเลาะกันอย่างหนักและรุนแรง
     เทพฮีฟัสทัสยังเด็กมากก็สงสารเทพีเฮร่าผู้เป็นมารดาจึงเข้าห้ามเทพซีอุสผู้เป็นพระบิดาทำร้ายพระมารดา แต่กลับถูกลูกหลงตกจากโอลิมปัสหล่นไปยังเกาะเลมนอส ด้วยความรุนแรงนั้น พระองค์ถึงกลับขาต้องพิการไปข้างหนึ่ง เหล่านางพรายนางไม้ที่สถิตที่เกาะนั้นก็สงสารจึงเลี้ยงดูพระโอรสองค์น้อยนี้่เป็นอย่างดี จากนั้นเทพีเฮร่าเมื่อทราบว่าพระโอรสพิการก็ไม่สนใจอะไรอีกเลยไม่ยอมลงไปรับขึ้นโอลิมปัส พระโอรสน้อยจึงน้อยใจ และตั้งปฎิญาณว่าจะไม่ขึ้นโอลิมปัสเป็นอันขาดหากไม่จำเป็น เทพซีอุสสงสารพระโอรสก็ลงมาชวนกลับวิมาน แต่ด้วยพระองค์ตั้งใจไว้แล้วจึงไม่กลับ เทพซีอุสจึงตั้งให้เทพฮีฟีสทัสเป็น1ในเทพสภาแห่งโอลิมปัส เทพฮีฟีสทัสจึงว่าจะขึ้นไปต่อเมื่อมีเหตุประชุมรวมเทพสภาเท่านั้น
     ครั้งหนึ่งเทพฮีฟีสทัสเคยทำการแก้แค้นเทพีเฮร่าผู้เป็นมารดา โดยสร้างบัลลังก์ทองคำที่มีลวดลายประดับงดงามถวาย เทพีเฮร่าพอพระทัยกับบัลลังก์องค์ใหม่จึงขึ้นนั่งประทัีบแต่พอมือสัมผัสกัีบที่จับเท่านั้น เครื่องกลไกที่เทพฮีฟีสทัสซ่อนไว้ก็รัดองค์เทพีไว้ เหล่าทวยเทพก็พากันมาช่วยก็มิอาจจะแก้กลของเทพฮีฟีสทัสไม่ได้ เทพซีอุสจึงส่งเทพเฮอร์เมสไปเชิญเทพฮีฟีสทัสมาแก้ แต่เทพฮีฟีสทัสก็ไม่ยอมมาแก้ จนเทพซีอุสต้องให้เทพไดโอนิซัสมอมเหล้าเทพฮีฟีสทัสให้สติสตังเคลิ้มและหลอกให้มาแก้กลจนได้ เทพีเฮร่าจึงเป็นอิสระอีกครั้ง แต่เทพีเฮร่ามิได้โกรธเพราะพระองค์ทราบรู้ตัวดีว่าพระองค์ผิดที่ทอดทิ้งลูกน้อยของพระองค์ และหลังจากเหตุการณ์นั้น เทพฮีฟีสทัสก็ไม่เข้าหาเทพีเฮร่าอีกเลย
      มีตำนานหนึ่งที่กล่าวถึงการกำเนิดของเทพฮีฟีสทัสที่ต่างออกไป เล่าว่าเทพซีอุสสามารถให้กำเนิดเทพีอธีน่าซึ่งออกมาจากศีรษะได้ เทพีเฮร่าจึงอยากจะให้กำเนิดเทพบุตรที่กำเนิดแบบนั้นเช่นกัน จึงให้กำเนิดเทพฮีฟีสทัส แต่ผลที่ออกมาเทพบุตรกลับรูปไม่งามสู้เทพีอธีน่ามิได้และยังมีขาข้างหนึ่งพิการเสียอีก พระองค์จึงขับไล่เทพฮีฟีสทัสลงจากโอลิมปัสเพราะพระองค์อับอาย เทพฮีฟีสทัสจึงไปอาศัยยังเกาะเลมนอส และไม่ยอมกลับโอลิมปัสอีกเลย และโกรธแค้นเทพีเฮร่าผู้เป็นมารดามาก
     คงเพราะความน่าสงสารอย่างนี้ ถึงเทพฮีฟีสทัสจะไม่รูปงามเท่าเทพเจ้าองค์อื่นๆ แต่ยังมีคุณค่าเพราะเอาดีทางการช่าง พระองค์จึงได้รับการยกย่องจากปวงเทพ เทพซีอุสผู้เป็นบิดาคงสงสารพระโอรสพระองค์นี้มาก จึงประทานเทพีอโฟรไดทิที่มีความงามให้เป็นชายา นี้ละเป็นข้อดีของเทพฮีฟีสทัสที่ได้พระชายาสวย แต่ความสวยของเทพีอโฟรไดทิกลับเป็นพิษ เมื่อเทพแอรีสพระเชษฐาของเทพฮีฟีสทัสที่สง่างามกว่ารูปงามกว่ามาเล่นชู้กับชายาน้องชายตน เทพฮีฟีสทัสน่าสงสารอีกแล้วถึงพระชายาสวมเขา เทพีอโฟรไดทิให้กำเนิดเทพบุตรอีรอส แต่เทพฮีฟีสทัสยังคิดว่าเป็นพระโอรสของพระองค์จึงสร้างธนูทองคำพร้อมลูกศรให้
     แต่ความลับนี้พระองค์ก็ยังไม่ทรงทราบอยู่ดีจนในที่สุดวันนั้นก็มาถึง เมื่อเทพอะพอลโลพบเห็นเทพีอโฟรไดทิเล่นชู้กับเทพแอรีสคาเตียง เทพอะพอลโลจึงมาบอกแก่เทพฮีฟีสทัส พระองค์คราวนี้โกรธกริ้วมาก พระองค์โง่มาโดยตลอด พระองค์จึงสร้างตาข่ายทองคำขึ้นและแอบไปยังวิมานของเทพแอรีส และพบว่าทั้งสองยังคงนอนหลับด้วยกัน เทพฮีฟีสทัสโยนตาข่้ายคุมทั้งสองและลากไปยังลานกว้างแห่งโอลิมปัสและประกาศประจาญให้ทวยเทพรับรู้ เทพแอรีสอับอายเป็นอันมาก เทพีอโฟรไดทิก็เช่นกัน แต่ถึงอย่างไรพระชายาพระองค์นี้ก็เล่นชู้ไปทั่วในบรรดาเทพเจ้าและมนุษย์ กลายเป็นตำนานเทพเจ้าที่มีรูปรสกลิ่นเสียงมากที่สุดตำนานหนึ่ง
     แต่มีคนวิจารณ์ว่าทำไมเทพซีอุสที่เจ้าชู้นักหนาไม่เก็บเทพีอโฟรไดทิไว้ แต่กลับมาให้เป็นพระชายาแห้งเทพฮีฟีสทัสผู้เป็นพระโอรส บางคนว่า ความจริงเทพซีอุสจะเอานางเป็นชายาแต่ถูกเทพีปฏิเสธพระองค์จึงคิดจะแก้เผ็ดเทพีจึงยกให้เป็นพระชายาแก่เทพที่พิการและอัปลักษณ์เป็นการลงโทษนั่นเอง
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-



 

แอรีส เทพเจ้าแห่งสงคราม

แอรีส

                                      เทพเจ้าแห่งสงคราม


 

        สงครามเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเตือนร้อนไปกระจรกระจายไปทุกที่ มีผู้คนลักตายมากมายทั้งทหารและชาวบ้านที่ไม่รู้อีโน่อีเหน่อะไร เลือดเต็มสมรภูมิพอๆกับศพของผู้ที่ล้มตาย ชาวกรีกเชื่อว่าเมื่อเจ้าเหนือหัวของพวกเขาจะทำสงครามนั้นเป็นสัญญาณเตือนถึงความหายนะมากกว่าการที่จะดีใจว่า องค์เหนือหัวจะได้ชัยชนะเหนือเมืองประเทศราช
     ชาวกรีกเชื่อว่าความคิดและสิ่งบันดาลให้เกิดสงครามนั้นเป็นเพราะ เทพแอรีสดลบันดาลให้เกิดสงคราม เพราะชาวกรีกเป็นชาติที่รักสงบนานๆทีจริงๆถึงจะมีสงครามบ้าง แต่เมื่อเขาเชื่อว่าสงครามเกิดเพราะเทพแอรีส แต่พวกเขาต้องการชัยชนะจึงมีการบูชาเทพีอธีน่าซึ่งพระเทพีเป็นเทพเจ้าแห่งชัยชนะเหนือสงครามอีกด้วย และที่สำคัญพระเทพียังเป็นคู่ปรับกับเทพแอรีสมาแต่ไหนแต่ไรอีกด้วย
     เทพแอรีสทรงเป็นพระโอรสในเทพซีอุสกับเทพีเฮร่า เทพแอรีสถึงจะเป็นเทพที่มีรูปลักษณ์สมชายชาตินักรบและสง่าก็ตาม แต่กลับไม่เป็นที่รักและโปรดปรานของผู้เป็นบิดา เทพซีอุสเคยกล่าวว่า
   "เจ้าเป็นลูกที่ข้าชังที่สุดในบรรดาลูกๆของข้า เพราะเจ้าโหดเหี้ยมและทารุณเหมือนแม่เจ้าไม่มีผิด"
   เทพแอรีสถูกเทพซีอุสผู้เป็นบิดาไม่โปรดปรานและมักจะเอาตนไปเปรียบกับเทพีอธีน่าซึ่งมีความงดงามและสง่าแต่มีสติปัญญาและฉลาดมีคุณธรรมและความกรุณากว่า เทพแอรีสจึงอิจฉาและริษยาเทพีอธีน่าจึงกลายเป็นอริมาโดยตลอดแต่บรรพกาล เวลาเจอกันทีไรก็ต้องทะเลาะกันอยู่เรื่อย ครั้งหนึ่งเทพแอรีสเจอกับเทพีอธีน่าและเกิดความไม่พอใจกัน เทพแอรีสกริ้วจึงขว้างจานหินใหญ่ใส่ แต่เทพีอธีน่าผู้ทรงปัญญาหลบทัน พระเทพีโมโหเป็นไฟจึงยกหินก้อนใหญ่ทุบใส่เทพแอรีสไปกองกับพื้น คงเพราะเป็นเช่นนี้เทพแอรีสมักจะแพ้ทางเทพีอธีน่าบ่อยครั้ง ชาวกรีกจึงบูชาเทพอธีน่าเพราะจะได้มีชัยชนะแห่งเดียวกับพระองค์ ซึ่งหากบูชาเทพแอรีสอาจพ่ายแพ้เช่นเดียวกับพระองค์      ถึงเทพแอรีสจะไม่เป็นที่นิยมบูชากันในเหล่าชาวกรีก แต่ยังเป็นเทพที่ชาวกรีกกลัวและไม่ชอบเช่นเดียวกับเทพฮาเดสอีกด้วย แต่พระองค์กลับได้เป็นนิยมบูชาในอาณาจักรโรมัน เพราะชาวโรมันนั้นชอบทำสงครามพวกเราจึงเชื่อว่า เทพแอรีส เป็นบิดาและผู้ให้กำเนิดชาวโรมัน ยังมีตำนานการตำนานอาณาจักรโรมันที่ยิ่งใหญ่ที่เล่าเกี่ยวข้องกับเทพแอรีสว่า พระองค์เป็นพระบิดาแห่งโรมิวลัสผู้ที่เป็นผู้บุกเบิกสร้างอาณาจักรโรมันขึ้นถือเป็นปฐมบรรพชนแห่งโรมัน ทุกคนยังจำกันได้ในรูปปั้นหรือรูปแกะเด็กดูดนมแม่หมาป่า เด็ก1ใน2นั้นเป็นโรมิวลัสนั้นเอง เขารอดมาได้จากความเมตตาของแม่หมาป่า เขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดเขาทำให้อาณาจักรอันเกรียงไกรที่สุดแห่งประวัติศาสตร์
เทพแอรีสเวลาท่านมาปรากฏสถิตยังสมรภูมิมักจะทรงราชรถม้าลงจากโอลิมปัส เหล่าทวยเทพเมื่อพบเทพแอรีสกำลังสวมชุดเกราะอันเงางามแล้วหยิบดาบให้ฟักล่ะก็แสดงว่า จะต้องมีสงครามเกิดขึ้นที่โลกมนุษย์ เหล่าเทพก็จะพากันมาดูและพนันกันว่าฝ่ายใดจะชนะและฝ่ายใดปราชัย เทพแอรีสจะมีลูกน้องคนสนิทที่ตามพระองค์ด้วยคือ เดมอส เทพเจ้าแห่งความกลัว และ โฟบอส เทพเจ้าแห่งความสยดสยอง บางตำนานก็ว่าเทพทั้งสองเป็นพระโอรสแห่งเทพแอรีส 
     เทพแอรีสไม่เคยยกย่องสตรีใดมาเป็นพระชายาอย่างออกหน้าแต่ในตำนานเทพได้กล่าวถึงพระองค์ทรงเล่นชู้กับเทพีผู้มีสวามีอยู่แล้ว พอพูดอย่างนี้คงจะทราบกันดี จะหนีใครได้พ้น เทพีองค์นั้น คือ เทพีอโพรไดทิ เทพเจ้าแห่งความงามและความรัก ความจริงและเทพีอโพรไดทิเล่นชู้กับเทพเจ้ามากมายและยังมาถึงมนุษย์ด้วย เพราะพระเทพีทรงเป็นความรักที่ร้อนแรงด้วยความสัมผัสและโลกีย์ แต่ก็น่าเห็นใจพระเทพีอยู่เช่นกันที่ว่าพระองค์มีพระสวามีเป็นเทพพิการอย่างเทพฮีฟีสทัส เทพเจ้าแห่งการช่าง เมื่อมาเจอกับเทพแอรีสผู้รูปงามสมชาติบุรุษ พระองค์จึงมอบใจมอบกายให้แก่เทพแอรีส และยังให้กำเนิดพระโอรสด้วยกันคือ เทพบุตรอีรอส เทพเจ้าแห่งความรักอีกด้วย      ในตำนานเล่าว่า เมื่อเทพีอโฟรไดทิมีความสัมพันธ์กับเทพแอรีสอย่างลับ เท่ากับว่าพระเทพีสวมเขาให้เทพฮีฟีสทัสผู้เป็นสวามี เทพแอรีสได้ส่งเทพอเล็กไทรออนให้เฝ้าเป็นยามในขณะที่เทพแอรีสกับเทพีอโฟรไดทิเล่นบรรเลงเพลงรักกันบนเตียง และให้อล็กไทรออนแจ้งหากมีใครมาเพื่อที่จะได้หนีทัน แต่ปรากฏว่าเทพอเล็กไทรออนเกิดหลับยาม เมื่อเทพอะพอลโลผ่านมาด้วยแสงสว่างของพระองค์ทำให้พระองค์เห็นเทพแอรีสกับเทพีอะโฟรไดทิหลับนอนด้วยกันก็ไปบอกกับเทพฮีฟีทัส เทพฮีฟีทัสรู้ว่าตนถูกสวมเขาจึงสร้างแหทองคำและมาครอบทั้ง 2 พระองค์ไว้และประจาญให้เหล่าทวยเทพมารับรู้ถึงการกระทำอันชั่วร้ายของทั้งสองพระองค์ เทพแอรีสได้รับความอับอายจึงสาปให้เทพอเล็กไทรออนผู้แอบหลับยามกลายเป็นไก่ จึงเป็นที่มาว่าทำไมไก่จึงขันเป็นสัญญาณเตือนถึงวันใหม่เมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏ....
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

ดิมิเตอร์ โพสพเทพีแห่งกรีก

ดิมิเตอร์

                                      โพสพเทพีแห่งกรีก

        กรีซเป็นประเทศที่มีการเพาะปลูกและเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก ทุ่งข้าวโพด ทุ่งข้าวสาลีที่เหลืองอร่ามจะเป็นที่สถิตแห่งพระเทพีพระองค์หนึ่ง พระเทพีดิมิเตอร์ ทรงเป็นเทพเจ้าที่ชาวกรีกให้ชาวเคารพมากองค์หนึ่งเพราะพระองค์ทรงประทับใกล้กับมนุษย์และมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของมนุษย์มาก เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวเหล่าชาวเกษตรกรจะทำการบูชาเทพีดิมิเตอร์กลายเป็นเทศกาลการเก็บเกี่ยวผู้คนจะเต้นรำและเลี้ยงฉลองโดยมีวัตถุดิบเป็นผลผลิตจากท้องไร่ท้องนา พร้อมกับร้องเพลงและบรรเลงดนตรีสรรเสริญรวมถึงประทับวิหารงดงามด้วยเหล่าดอกไม้และผลไม้ธัญหารมากมาย
     พระองค์ทรงเป็นพระพี่นางและพระชายาแห่งเทพซีอุส พระเทพีมีพระธิดาให้เทพซีอุส คือ เทพีเพอร์เซโฟนี ซึ่งพระเทพีทรงรักพระธิดาพระองค์นี้มาก พระองค์มักจะอยู่กับพระธิดาด้วยเสมอๆ และด้วยความรักอันมากมายของพระเทพีจึงก่อเกิดตำนานการเกิดฤดูกาลเก็บเกี่ยวและฤดูแห้งแล้ง ต้นเหตุมาจากเทพฮาเดสลักพาเทพีเพอร์เซโฟนีไปเป็นพระราชินีแห่งปรโลก ทำให้พระเทพีโศกเศร้าไม่มีจิตใจจะอวยพรให้เหล่าพืชพรรณธัญหารและผลผลิตทางการเกษตรเจริญงอกงามได้ มันจึงล้มตายและแห้งเฉา พระเทพีทนต่อไม่ไหวจึงออกเดินทางพระธิดาอันเป็นที่รัก ความอุดมสมบูรณ์จางหายไปแปลเปลี่ยนเป็นความอดอยากและแล้งแค้นมาแทนที่ ความทุกข์ทรมานจากการอดออาหารกระจายไปทุกพื้นที่ ส่วนพระเทพียังคงเดินทางตามหาพระธิดาไปตามที่ต่างๆ จนมาได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหญิงเมืองอีลูซีสทำให้พระองค์ีจิตใจที่จะตามหาพระธิดาต่อไป พระเทพีมาพบกับเทพีแห่งแม่น้ำไซเอนีมอบสายรัดเอวแก่พระองค์และแจ้งว่า พระธิดาถูกเทพฮาเดสลักพาตัวไป พอพระเทพีทราบก็ยิ่งโศกเศร้าเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ด้วยความเหน็ดเหนื่อยพระองค์จึงแวะพักที่บริเวณน้ำพุ ปรากฏว่าได้ยินเสียงบ่นพึงพำกับพระองค์ถึงเทพีเพอร์เซโฟนีกลายเป็นพระราชินีแห่งปรโลกแล้ว เมื่อพระองค์ทราบว่าพระธิดากลายเป็นพระราชินีแห่งปรโลกจึงไปขอร้องให้เทพซีอุสช่วย จนในที่สุดพระเทพีก็ได้พระธิดากลับคืนแต่ต้องอยู่กับพระองค์ได้เพียง 8 เดือน และกลับไปครองตำแหน่งราชินีแห่งปรโลกเป็นเวลา 4 เดือน 8 เดือนแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่พระเทพีประทานพรแก่พืชผลธัญหาร จึงทำให้พวกมันเจริญงอกงาม แต่พอเลยไป 8 เดือน 4 เดือนแห่งความแห้งแล้งก็มาเยือนเมื่อพระธิดากลับไปอยู่กับพระสวามี ทำให้พระเทพีโศกเศร้าจึงมิอาจจะมีจิตใจมีอวยพรแก่พืชผลให้เจริญงอกงาม
พระเทพีทรงรักพระธิดามากจนพอทราบว่า เทพฮาเดสนอกใจเทพีเพอร์เซโฟนีเท่านั้น พระเทพีก็ลงทัณฑ์อันร้ายเลวสังหารนางไม้นางนั้นตายคาที่เลยทีเดียว
     พระเทพียังคงครองทุ่งข้าวโพด ทุ่งข้าวสาลีและพืชผลธัญหารให้อุดมสมบูรณ์โดยพรแห่งพระองค์ตลอดมา
        บางตำนานก็กล่าวว่าตอนที่พระเทพีตามหาพระธิดานั่นก็พบกับมนุษย์นามว่า"ทริปโทลีมัส" เป็นชาวเมืองอีลูซิส เขาแจ้งกับพระเทพีว่า
    "ข้าแต่เทพีดิมิเตอร์ ตอนนั้นข้ากับหมูของข้า 3 ตัวกำลังเดินอยู่จะกลับบ้านอยู่ๆธรณีก็แยกออกหมูของข้าทั้ง3ก็ตกลงไป ข้าเห็นเทพฮาเดสทรงราชรถพร้อมด้วยพระธิดาแห่งพระองค์ลงไปยังใต้ทางแยกของธรณีและมันก็ปิดลง ได้โปรดเถิดพระองค์ช่วยเอาหมูของข้าขึ้นมาด้วย"
   "เรามิอาจจะนำหมูของเจ้าคืนมาได้หรอก แต่เมื่อเจ้าบอกแจ้งแก่ข้าถึงพระธิดาของข้า ข้าก็จะตอบแทนความดีของเจ้าด้วยวิธีการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวแก่เจ้า..."
      พระเทพีสอนทริปโทลีมัสให้หว่านเมล็ดไถนาในช่วงฤดูใบไม้ผลิและเก็บผลในฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเก็บไว้เป็นกินในช่วงฤดูหนาว
    ตามตำนานว่าทริปโทลีมัสเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับการสอนเรื่องเกษตรกรรมมาจากพระเทพีและเขาก็ได้สอนให้แก่เพื่อนมนุษย์เพื่อขจัดการอดอยากของมวลมนุษย์ในระหว่างที่พระองค์อยู่ในความโศกเศร้า มนุษย์จะได้อิ่มท้องกันทั่วหน้า

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

เฮสเทีย อัคนีเทพีผู้ครองเตาผิงไฟ

เฮสเทีย

                                  อัคนีเทพีผู้ครองเตาผิงไฟ

      ครั้งนี้มาพูดถึงพระเทพีผู้ถือว่าเป็นเทพีที่สำคัญพระองค์หนึ่งและทรงสิริโฉมงดงาม พระองค์ทรงสง่างามและเป็นตัวอย่างที่ดีต่ออิสตรีทั่วไปในการถือครองพรหมจรรย์ (เป็นเทพีผู้ครองพรหมจรรย์รุ่นบุกเบิกซึ่งต่อมามีหลานสาว 2 พระองค์ดำเนินรอยตาม คือ เทพีอธีน่า และ เทพีอาร์ทิมิส) ใช่พระองค์ไม่มีพระสวามีและไม่เคยคิดที่จะมีด้วย ถึงจะเคยถูกตามตื้อจากเทพโพไซดอนและเทพอะพอลโลก็ตาม พระเทพีก็มิสนใจ พระองค์ทรงอยู่แต่หน้าเตาไฟที่รุ่งโชติช่วง พระเทพีทรงเป็นพระพี่นางคนโตแห่งเทพซีอุสอีกด้วย 
     พระเทพีเป็นเทพเจ้าที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากองค์หนึ่ง เพราะชาวกรีกเชื่อว่า พระเทพีได้ทอดทิ้งความสุขสบายแห่งพระองค์ลงจากเขาโอลิมปัสอันเป็นสถานที่อันบรมสุข มาสถิตคุ้มครองผู้คนโดยประทับในเตาผิงไฟในแต่ละบ้านเรือน ชาวกรีกจึงมีความเชื่อว่าพระเทพีจะเป็นเทพคุ้มครองบ้านเรือน (คงคล้ายกับพระภูมิบ้านเรา) เวลามีเด็กแรกเกิดเกิดขึ้นในบ้าน ผู้เป็นพ่อจะนำบุตรของตนมายังหน้าเตาผิงเพื่อให้พระเทพีรับรู้ว่ามีสมาชิกใหม่เกิดขึ้นแล้วและให้พระองค์เมตตาคุ้มครองบุตรของตน ซึ่งรูปลักษณ์ของพระเทพีคือ ไฟในเตาผิงนั้น
     ในเมืองต่างๆของประเทศกรีซและโรมันจึงมีเทวาลัยและวิหารของพระเทพีเพื่อให้พระองค์ปกปักษ์รักษา โดยในวิหารจะมีกองไฟที่จุดแล้วโดยมีเหล่านักบวชหญิงที่ต้องเป็นสาวพรหมจรรย์ พวกนางเรียกว่า "เวสตัน" พวกนางจะเฝ้ากองไฟศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ให้ดับและเติมเชื้อเพลิงให้ไฟอยู่เสมอเพราะไฟกองนี้เสมือนเป็นองค์เทพีมาสถิต เวสตันสามารถเป็นได้ตั้งแต่อายุ 6-10 ปี และต้องปฎิบัติหน้าที่นี้ตามวาระ10ปีเมื่อครบแล้วจึงจบหน้าที่ของเวสตันได้ บางทีมีกำหนดว่าจะลาจากหน้าที่ต้องมีอายุได้ 40 ปี พวกนางจะสามารถที่จะมีครอบครัวได้
     พวกนางจึงเท่ากับว่าเป็นผู้เสียสละความสุขของตนแท้ๆ แต่พวกนางในฐานะเวสตันก็ถูกเคารพยกย่องจากปวงชนและกษัตริย์เช่นกัน และพวกนางมีอำนาจอันชอบธรรมที่ดูแล้วช่างดีจริงๆคือ หากพวกนางพบนักโทษที่กำลังจะถูกประหารหรือลงทัณฑ์พวกนางสามารถใช้สิทธิในฐานะข้ารับใช้แห่งเทพีเฮสเทียให้อภัยโทษนักโทษผู้นั้นได้ นี้คือข้อที่แสดงว่า เทพีเฮสเทียเป็นเทพเจ้าที่ชาวกรีกรักมากองค์หนึ่งเลยทีเดียว 

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
 

ฮาเดส พญามัจจุราชแห่งปรโลก

ฮาเดส

                                  พญามัจจุราชแห่งปรโลก
       เมื่อกล่าวถึงพี่ชายคนโตแห่งเทพซีอุสไปแล้ว ต่อมาคงไม่พ้นพี่ชายคนต่อมาคือ เทพฮาเดส ซึ่งได้รับอำนาจอันชอบธรรมจากเทพซีอุสผู้เป็นน้องชายให้อำนาจหน้าที่ครอบครองนครใต้พิภพ อันมืดไร้แสงสว่างแต่กลับแวววาวด้วยอัญมณีใต้ธรณี โดยพระองค์เป็นประมุขแห่งขุมนรก โดยมีเหล่าวิญญาณอยู่ภายใต้การควบคลุมของเทพฮาเดส พระองค์ทรงมีอาวุธประจำกายคือ คฑาสองง่าม และหมอกล่องหน
     มาพูดถึงปรโลกอันเป็นอาณาจักรของเทพฮาเดสกันบ้าง เขาว่าอาณาจักรปรโลกของเทพฮาเดสอยู่สุดขอบโลกในความเชื่อของกรีก เมื่อวิญญาณของผู้ที่ล่วงลัีบเมื่อออกจากร่างก็เดินทางมายังอาณาจักรแห่งพระองค์ เทพเฮอร์เมส(ทำหน้าที่คล้ายกับยมฑูต)จะรับวิญญาณและพาเดินทางมายังปรโลก
     พอวิญญาณมาถึงปรโลกแล้วจะพบกับแม่น้ำสายใหญ่ แม่น้ำนั้นก็คือ แม่น้ำสติกซ์ วิญญาณจำต้องข้ามแม่น้ำเพราะบัลลังก์ว่าธรรมของเทพฮาเดสอยู่ฝั่งอีกฟากของแม่น้ำ วิญญาณต้องนั่งเรือแจวของซารอนข้ามแม่น้ำสติกซ์และเข้าเฝ้าเทพฮาเดส โดยวิญญาณต้องเสียเงิน1เหรียญเป็นค่าโดยสาร เมื่อวิญญาณดวงใดไม่มีจำต้องอยู่ที่นี่โดยความทุกข์ทรมานด้วยความเหน็ดหนาวและสิ้นหวัง ในพิธีศพของกรีกจึงมีการวางเหรียญไว้บนปากของศพด้วยเพื่อนำไปเป็นค่าโดยสารเรือของชารอนในปรโลก ชารอนจะพายพาวิญญาณพาแม่น้ำเลเธและให้วิญญาณนั้นดื่มน้ำจากแม่น้ำเพื่อเป็นการชำระล้างความทรงจำของชาติก่อน
     พอวิญญาณมาถึงฝั่งและวิญญาณจะเดินทางมาพบประตูใหญ่ซึ่งเป็นประตูปราสาทที่ว่าราชการของเทพฮาเดส แต่วิญญาณจะต้องพบกันสุนัขเซอร์เบอรัสซึ่งเป็นสุนัข3หัวและมีหางเป็นงู คอยเห่าให้วิญญาณเกรงกลัว แต่มันจะไม่ทำร้ายวิญญาณ หากมีคนที่ยังไม่ตายเข้ามาล่ะก็หนีให้ทันโดยด่วนเพราะมันจะไม่ปล่อยไว้แน่ แต่ในตำนานก็เคยปรากฏถึงคนเป็นที่สามารถผ่านเจ้าเซอร์เบอรัสมาได้คือ เฮอร์คิวลิส ออร์ฟิอัส และเจ้าชายเอเนียส
     วิญญาณเมื่อผ่านเจ้าเซอร์เบอรัสมาแล้วจะเข้าสู่สถานที่อันเป็นที่ว่าราชการของเทพฮาเดส โดยพระองค์มีขุนนางของพระองค์เป็นคณะตุลาการผู้พิพากษาตัดสินความดีความชั่วของวิญญาณด้วยกัน3ท่าน คือ ราดามานธิส ไมนอส และ อียากัส
     วิญญาณของคนที่ทำความดีพวกท่านทั้ง3ก็จะชี้ทางไปยังทุ่งเอลิชิอันฟิลด์ส ซึ่งเปรียบได้ดั่งสรวงสวรรค์ของคนหลังความตาย (แต่ไม่ใช่สวรรค์ที่เป็นที่สถิตของเทพเจ้า) ส่วนวิญญาณของคนที่กระทำความชั่วก็จะนำไปยังขุมนรกที่เรียกว่า "ทาทารัส"และรับการลงทัณฑ์อย่างทรมาน แต่สำหรับวิญญาณที่ไม่ดีไม่ชั่วก็จะไปยังทุ่งราบแห่งอัสโฟเดล 
     นอกจากคณะตุลาการแล้ว พระองค์ยังมีเหล่าเทพีมอยเรทั้งสามที่รับใช้เทพฮาเดส ซึ่งมีหน้าที่กำหนดชะตาของมนุษย์โดย ทั้ง3เทพีจะปั่นเส้นด้าย คือ เส้นด้ายแห่งชีวิต โดยมีเทพีทั้ง 3 ดังนี้
    1. เทพีโคลโธ มีหน้าที่ปั่นฝ้ายให้เกิดเป็นเส้นด้าย (กำเนิดชีวิต)
    2. เทพีลาเคซีส ฟั่นด้ายเป็นเชือก (ดำรงชีวิต)
    3. เทพีอะโทรพอส คอยตัดเส้นด้ายนั้น (จบชีวิต)
     นอกจากเทพเจ้าแล้ว พระองค์ยังมีปีศาจที่คอยรับหน้าที่ลงทัณฑ์แก่วิญญาณบาปอีกด้วย พวกนางคือ "อิรินนีอัส" พวกนางรู้จักกันในนามว่า ภูตพยาบาท ประกอบด้วย
     1. นางอะเล็กโต (ผู้ตามล่า)
     2. นางเมกร่า  (ผู้เคียดแค้น)
     3. นางทิชิโฟเน่  (ผู้ล้างแค้น)

          พวกนางจะตามจับและใช้อาวุธแทงตามร่างของวิญญาณให้ได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส และ ทนทุกข์ทรมานเป็นอันมาก (บ้านเราก็คงไม่ตายจากนายนิรยบาล)
     พระองค์ทรงเป็นประมุขแห่งปรโลก แต่กลับไร้ซึ่งพระราชินีเคียงข้าง จึงครองความเป็นโสดมาโดยตลอดทั้งๆที่ เทพซีอุสกับเทพโพไซดอนกับมีพระราชินีเคียงข้างและยังมีชายาเล็กชายาน้อยอีก พระองค์อยู่ท่ามกลางความโดดเดี่ยวมองแต่ดวงวิญญาณที่ลอยผ่านพระองค์ไปดวงแล้วดวงเล่า จนในที่สุดพระองค์ทรงเบื่อจึงปล่อยให้หน้าที่ของเทพตุลาการกับเทพีแห่งชะตาทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยแทนพระองค์ พระองค์ทรงราชรถเทียมม้าสีดำเหาะขึ้นสู่พื้นพิภพ พระองค์เจ็บปวดแต่แสงแดดที่กระทบต้องดวงตาของพระองค์
"ข้าเกลียดแสงอาทิตย์เสียจริง มันทำให้ข้าแสบตา..."
   พระองค์ชักม้าอย่างแรงและเหาะลอบใต้กลุ่มเมฆบังเอิญผ่านบริเวณทุ่งดอกไม้ที่งดงามของเทพีเพอร์เซโฟนี พระธิดาแห่งเทพีดิมิเตอร์ โพสพเทพี กับ เทพซีอุส เทพีกำลังเล่นสนุกอยู่กับเหล่านางกำนัลที่เป็นนางพราย
    เมื่อเทพฮาเดสได้ยินเสียงหัวเราะอันสดใสของเทพีเพอร์เซโฟนีก็เกิดความรักขึ้นมา
   "นางนี่เละ ที่จะเป็นพระราชินีแห่งปรโลกคู่กับข้าประมุขแห่งปรภพ"
     พระองค์ขับราชรถลงต่ำจนถึงตัวเทพีเพอร์เซโฟนี และพระองค์ก็ใช้แขนข้างหนึ่งอ้อบกอดนางไว้แน่นและเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า
   "ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยด้วย..."
   "ตายแล้ว...นั้นเทพฮาเดสลักพาตัวพระบุตรีทำไงดีพวกเรา"
   "เราต้องไปทูลพระเทพี..."
   ราชรถแห่งเทพฮาเดสเหาะเหินเหนือเหล่าก้อนเมฆ
   "ท่านปล่อยข้านะ..."
   "ข้าจะไม่ปล่อยเจ้า...แม่นางผู้เลอโฉม..."
   เทพฮาเดสจ้องที่ดวงตาของเทพีเพอร์เซโฟนี
   "ข้าชอบแววตาที่สดใสของเจ้า และเสียงหัวเราะมันกังวาลอยู่ในหัวใจของข้า...แม่นาง"
  ระหว่างทางนั้นเบื้องล่างเป็นแม่น้ำไซเอนี เทพีก็โยนสายรัดเอวลงสู่แม่น้ำ
   "เทพีแห่งแม่น้ำไซเอนีโปรดบอกพระมารดาข้าด้วยว่าข้าถูกเทพฮาเดสลักพาตัวไป..."
   สายรัดเอวล่องสู่แม่น้ำ เทพฮาเดสใช้พลังอำนาจแยกธรณีและลงไปสู่อาณาจักรใต้พิภพของพระองค์ เทพีเพอร์เซโฟนีหวาดกลัว
เทพฮาเดสรีบเร่งราชรถให้เร็วขึ้นไปยังปราสาทที่แสนอลังการที่ประดับอัญมณีที่ระยิบระยับ และเทพฮาเดสให้เทพีประทับในตำหนักหินอ่อนที่โอ่อ่าและต้นไปด้วยต้นทับทิม

     ทางฝ่ายเทพีดิมิเตอร์เมื่อทราบว่าพระบุตรีอันเป็นที่รักหายไปนางก็โศกเศร้าทำให้เกิดความแห้งแล้ง ด้วยพระเทพีเป็นเทพีแห่งความเจริญงอกงามของความอุดมสมบูรณ์จึงพาเอาความเจริญสมบูรณ์หายไปด้วย
   "เพอร์เซโฟนีลูกแม่....เจ้าหายไปไหน...."
    พระเทพีทั้งร้องไห้ทั้งเสียใจ และออกตามหาพระบุตรีไปทุกที่ โลกมนุษย์เกิดความเตือนร้อนเมื่อผลไม้และธัญหารไม่เจริญงอกงามแต่กลับเหี่ยวเฉาล้มตายไป
   "เพอร์เซโฟนีลูกแม่...เจ้าอยู่ไหน..."
    พระเทพีจากร่างของหญิงสาวที่งดงามกลับกลายเป็นร่างของหญิงชราที่ใบหน้ามีแต่ความอมทุกข์ พระเทพีเดินเรียกหาแต่พระบุตรี
      "เพอร์เซโฟนี ลูกอยู่ไหน..."
     ในขณะนั้นพระเทพีผ่านมายังนครอีลูซิส ตอนนั้นเจ้าหญิง  กำลังเดินเล่นอยู่ก็พบกับพระเทพีในร่างหญิงชรานอนสลบอยู่ เจ้าหญิงพามารักษาในตำหนักของพระองค์ เจ้าหญิงเช็ดหน้าเช็ดตัวให้ พระเทพีก็ฟื้นขึ้น
    "ที่นี่มันที่ไหนกัน..."
    "คุณยายค่ะ ที่นี่พระราชวังแห่งนครอีลูซิสค่ะ"
    "พระราชวัง เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร"
    "ก็คุณยายมาเป็นลมสลบอยู่หน้าพระราชวังนี่ค่ะ หนูเห็นเข้าเลยช่วยกันพาคุณยายมารักษาที่ตำหนักของหนู"
    "ต้องขอขอบพระทัยองค์หญิงมากเพคะ แต่หม่อมฉันต้องมีเรื่องด่วนต้องทำ"
     "ท่านยายดูอาการท่านยังไม่หายดีเลยนะค่ะ อยู่รักษาตัวสักหน่อยนะค่ะ"
    จากนั้นพระเทพีก็ประทับอยู่ในพระราชวัง ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหญิง พระราชาและพระราชินีก็ให้ความเอาใจใส่เช่นกัน จนพระเทพีมีอาการดีขึ้น
ระหว่างที่พระเทพีรักษาองค์นั้น พระองค์ก็ได้ช่วยพระราชินีเลี้ยงดูพระโอรสองค์น้อยที่น่ารัก พระเทพีเลี้ยงไปก็คิดถึงพระบุตรีทุกครั้ง วันหนึ่งพระเทพีคิดอยากให้พระโอรสองค์น้อยนี้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงจึงแอบทำพิธีในตอนกลางคืน พระเทพีจุดไฟในเตาผิงและนำพระโอรสนอนลอยอยู่เหนือไฟ พร้อมบริกรรมคาถาไปด้วย ไฟก็แผดเผาร่างของพระโอรส
   "กรี๊ด......................คุณยายบ้าไปแล้วเหรอ"
   เจ้าหญิงที่แอบดูสถานการณ์ก็ตกใจเมื่อเห็นไฟแผกเผาน้องชาย แต่พอองค์หญิงอุ้มน้องชายขึ้นมากับกองไฟได้ก็ประหลาดใจที่ไฟนั้นกลับไม่ร้อนแต่มันกลับเย็นสบาย และน้องชายยังคงหลับนิ่งอยู่และเนื้อตัวก็ไม่มีแผลจากไฟ เจ้าหญิงสัมผัสได้ถึงรัศมีที่จางมาก พอนางหันไปข้างก็ปรากฏว่า หญิงชรากลายเป็นหญิงงาม
   "อะไรกันองค์หญิง...หม่อมฉันมิได้เป็นแม่มดหมอผี แต่หม่อมฉันคือ เทพีดิมิเตอร์...."
   "อะไรนะ..."
   เจ้าหญิงนั่งลงคุกเข่า
    "ขออภัยท่านเทพเจ้า หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่"
    พระเทพีลงคุกเข่าเช่นกัน
   "ไม่ต้องมาทำอย่างไรหรอกองค์หญิงผู้อารีของข้า การที่ข้ากระทำต่อองค์ชายน้อยนี้เป็นการช่วยให้องค์ชายเมื่อเติบโตไปจะมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงและจะได้เป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่"
  "ขอบพระทัยท่านเทพเจ้า"
พระเทพียิ้มและหายองค์วับหายไปพร้อมกับรัศมี พระเทพีออกตามหาพระบุตรีอันเป็นที่รักต่อจนมาถึงแม่น้ำไซเอนี
   "เพอร์เซโฟนี...ลูกแม่เจ้าอยู่ไหน..."
   เทพีแห่งแม่น้ำไซเอนีก็ปรากฎกายขึ้นมา
   "ข้าแต่พระโพสพเทพี ข้าเทพีแห่งแม่น้ำไซเอนีเพคะ"
   "เจ้ามาหาข้ามีเหตุอันใด"
    และเทพีแห่งแม่น้ำไซเอนีก็มอบสายรัดเอวแก่พระเทพี
   "นี่มัน...สายรัดเอวของลูกข้า..."
   "เพคะ พระเทพี วันนั้นหม่อมฉันเห็นพระบุตรีถูกเทพฮาเดสลักพาตัวเพคะ และพระบุตรีก็ฝากสายรัดเอวนี้ให้หม่อมฉันมามอบแก่พระเทพีเพคะ"
   "ที่แท้ ฮาเดสเป็นตัวการ"
    พระเทพีพิโรธเป็นอันมาก เข้าเฝ้าเทพซีอุสโดยแจ้งเรื่องที่เทพฮาเดสลักพาตัวพระบุตรีไป เทพซีอุสจึงออกคำขาดว่า
   "หากพระบุตรีไม่กินอะไรในแดนปรภพ นางจะกลับมาอยู่กับเทพีตลอดกาล"
     เทพซีอุสจึงสั่งให้เทพเฮอร์เมสไปรับพระบุตรีมา แต่พระบุตรีได้กินผลทับทิมไปแล้ว 4 เม็ด เทพฮาเดสจึงไม่ยอมให้พระบุตรีกลับคืนสู่เทพีดิมิเตอร์ เทพซีอุสจึงตัดสินว่า
   "เมื่อเทพีเพอร์เซโฟนีกินเม็ดทับทิมไปแล้ว 4 เม็ดซึ่งข้าเคยกล่าวไปแล้้วหากนางกินของๆแดนปรภพจำต้องอยู่ที่นั้น แต่เห็นแก่ว่าจะเป็นการพรากแม่พรากลูก ข้าจึงขอตัดสินว่า เทพีเพอร์เซโฟนีจะเป็นพระราชินีแห่งปรโลกเป็นเวลา 4 เดือน และกลับมาอยู่เป็นเทพีดิมิเตอร์ผู้เป็นมารดาเป็นเวลา 8 เดือน "
     จากนั้นมาเทพฮาเดสก็ได้เทพีเพอร์เซโฟนีเป็นพระราชินีจนได้ แต่พระองค์ต้องเหงาเมื่อห่างจากพระราชินีอันเป็นที่รักถึง 8 เดือน ต้องยอมให้เทพีเพอร์เซโฟนีไปอยู่เทพีดิมิเตอร์เพราะที่แท้พระเทพีเป็นพระพี่นางของพระองค์ ซึ่งเท่ากับเทพีเพอร์เซโฟนีเป็นหลานสาวแท้ๆของพระองค์เช่นกัน   
     อะไรก็เกิดขึ้นได้ในตำนานเทพเจ้า.... ถึงพระองค์จะรักพระราชินีของพระองค์มากก็ตาม แต่พระองค์ยังมีการนอกใจพอเป็นน้ำจิ้มน้ำจิ้มขำขำแต่ เหล่านางที่ตกเป็นชายาเก็บนี่ซิถึงฆาตทุกคนในน้ำมือของเทพีเพอร์เซโฟนีที่แสนดีและสง่าผู้นี้
     ในตำนานกล่าว่าด้วยความเหงาเดียวดายพระองค์จึงไปกุ๊กกิ๊กกับนางพรายน้ำนามว่า "เลอซี" พระธิดาแห่งเทพโอเซียนัส แต่นางกลับอายุสั้นเหลือเกินมาป่วยตาย เทพฮาเดสผู้น่าสงสารจึงเนรมิตร่างของนางกลายเป็นต้นพ็อปลาร์ขาว แต่ความจริงนางเป็นถึงเทพที่มีชีวิตอมตะแต่กลับมาป่วยเช่นนี้อาจเป็นฝีมือ...........!!!
     ชายาน้อยองค์ต่อมา เคราะห์ก็มาตกกับนางไม้ผู้แสนสวย นามว่า "มินธี" เทพฮาเดสรักนางมาก เทพีเพอร์เซโฟนี พระราชินีผู้ที่เทพฮาเดสเทิดทูนว่าเป็นพระราชินีที่แสนดีและสง่างาม และกลับมาสังหารนางอันเป็นที่รักโดยมีเทพีดิมิเตอร์ร่วมด้วยช่วยกันเอาซะตายคาที่ เทพฮาเดสกลับถึงร้องไห้ออกมา พระองค์ไม่คิดเลยว่าพระราชินีที่พระองค์เทิดทูนจะมีความโหดร้ายเช่นนี้ พระองค์เนรมิตร่างของนางไม้มินธีให้กลายเป็นต้นมิ้ท (บ้านเราก็เจ้าต้นสาระเหน่นั้นเละ) ซึ่งกลายเป็นต้นไม้ประจำพระองค์
     เทพฮาเดสเป็นผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในความรักเช่นอย่าง เทพซีอุสและเทพโพไซดอน พระองค์คงคิดว่าได้เทพีเพอร์เซโฟนีมาเป็นพระราชินีแล้ว คงจะเป็นพระชายาที่พระองค์จะทุ่มเทความรักให้ เพราะพระองค์รักและปรารถนาจะดูแลนางและครองคู่กันไปตลอดกาล แต่พระนางแต่เดิมทรงเป็นเทพีผู้น่ารักและสดใส พอมาอยู่กับพระองค์กลับกลายเป็นเทพีผู้มีจิตใจเย็นชาและโหดเหี้ยมเพียงนี้ ดูๆไปก็สมกับตำแหน่งราชินีแห่งปรโลก... แต่ยังไงพระองค์ก็ยังคงนั่งเคียงข้างบัลลังก์แห่งปรโลกด้วยกันตลอดมา
 
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-**-*-*-*-*-
 

โพไซดอน พระสมุทรแห่งกรีก

โพไซดอน
                                        พระสมุทรแห่งกรีก
     ในตำนานเคยกล่าวว่า เทพซีอุสมีพี่ชาย2พระองค์ พี่สาว3พระองค์ ซึ่งเทพโพไซดอนก็เป็น 1 ในพี่ชายแห่งเทพซีอุส เมื่อเทพซีอุสขึ้นเป็นประมุขฟ้าแล้วก็มอบอำนาจบางส่วนให้พี่ๆช่วยดูแล โดยเทพโพไซดอนรับอำนาจควบคุมครอบครองมหาสมุทร จากนั้นเทพบุตรโพไซดอนก็กลายเป็นพระสมุทร เทพเจ้าผู้ปกครองสรรพสิ่งในมหาสมุทรรวมถึงภูตปีศาจในทะเลอีกด้วย และชาวประมงที่จับปลาเป็นอาชีพก็จะอยู่ในความคุ้มครองของพระองค์ด้วย ยามท้องทะเลปั่นป่วนเหล่าชาวประมงจึงเชื่อกันว่า เทพโพไซดอนพิโรธจึงจะไม่ออกทะเลเพราะกลัวพลังอำนาจของพระองค์ เทพโพไซดอนจึงมีฉายาว่า"ผู้เขย่าโลก"อีกด้วย 
     เทพโพไซดอนประดับในปราสาทที่งดงามภายใต้มหาสมุทร ท่ามกลางเหล่าพระราชบริวารที่เป็นเทพแห่งทะเล เหล่าเทพธิดา นางพรายแห่งท้องทะเล ที่รูปร่างงดงามที่มีส่วนล่างเป็นปลา พระองค์ประทับบนบัลลังก์ทองคำที่สุกเปล่งสว่างดังแสงอาทิตย์ สวมมงกุฎแสดงถึงอำนาจแห่งประมุขแห่งภพบาดาล และศาสตราวุธคู่พระวรกายคู่ ตรีศูลที่ทรงพลานุภาพที่แกร่งทีหนึ่งก็แสดงทำให้มหาสมุทรสั่นสะเทือนได้ พูดถึงภารหน้าที่ของพระองค์ไปแล้ว มาพูดถึงอำนาจเขตขอบขันธสีมาของพระองค์กันดีกว่า
     เทพโพไซดอนเดิมอย่างว่าเป็นเทพบุตรรุ่นใหม่อันกำเนิดจากเทพโครนัสกับนางเรอา ซึ่งก่อนที่พระองค์จะขึ้นตำแหน่งพระสมุทรนั้น มีเทพเจ้ารุ่้นเก่าคือ เทพไตรต้นนามว่า "โอเซียนัส" เป็นพระสมุทรอยู่ก่่อนแล้ว ซึ่งเทพโอเซียนัสมีอำนาจครอบคลุมอำนาจน้ำทุกอย่างในโลก แต่พอเทพรุ่นใหม่ล้มอำนาจของเทพไตรตัน เทพโอเซียนัสจึงถูกลดอำนาจแต่ยังคงสภาพพระสมุทรอยู่ คือ เทพโพไซดอนปกครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ในอดีตชาวกรีกนั้นมหาสมุทรเมดิเตอร์เรเนียนมีความสำคัญต่อตนมาก) ส่วนเทพโอเซียนัสจึงปกครองในห้วงสมุทรที่เป็นเพียงน้ำไหลวนรอบโลกซึ่งไม่มีความสำคัญอะไรเลย
     พระองค์ในฐานะเป็น 1 ใน เทพสภาทั้ง12แห่งโอลิมปัส มักจะตั้งเสด็จขึ้นไปยังโอลิมปัสด้วย เวลาพระองค์เสด็จจะทรงบนราชวงศ์เทียมม้าน้ำและจะมีเหล่าเทพบุุตร เทพธิดาแห่งทะเลรวมถึงหมู่นางพรายขึ้นมาส่งเสด็จต่างประโคมแตรสังข์ดนตรีอย่างอลังการ สมกับขบวนส่งเสด็จพระสมุทร ท้องทะเลจะแหวกเป็นทางให้รถม้าของพระองค์เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งสู่โอลิมปัสอย่างสวยงาม 
     เทพโพไซดอนทรงเป็นพระสมุทรที่เท่ากับเป็นประมุขบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายในมหาสมุทร ก็คงขาดไม่ได้ที่จะต้องมีพระมเหสีหรือราชินีคู่บัลลังก์ พระราชินีแห่งท้องทะเลจะหนีไปไม่ได้เลย เพราะหนีแล้วท่านยังตามทันนั้นคือ เทพีอัมฟิตรีตี กว่าพระองค์จะได้เทพีพระองค์นี้มาเป็นพระมเหสีช่างยากอยู่เหมือนกัน ตอนแรกพระองค์ขอพระเทพีจากเทพโอเซียนัสผู้เป็นบิดา แต่พระเทพีกลับไม่ยินดีกับการจะเป็นพระมเหสีพระสมุทรพระองค์ใหม่จึงหนี..!! พระเทพีหนีซ่อนองค์อยู่ทีึ่อื่น แต่คงไม่พ้นพระเนตรพระกรรณของเทพโพไซดอนได้ พระองค์จึงวานปลาโลมาช่วยตามหาพระเทพีอันเป็นที่รัก ในที่สุดเจ้าปลาโลมาก็พบพระเทพีและนำกลับมามอบแก่เทพโพไซดอนได้สำเร็จ พระเทพีผู้โสภาคงหนีไม่รอดตำแหน่งราชินีแห่งมหาสมุทร จึงยอมรับเทพโพไซดอนเป็นพระสวามีโดยดี
     พระเทพีทรงมีพระโอรสให้เทพโพไซดอน คือ เทพไทรตัน โดยพระโอรสพระองค์นี้จะมีหน้าที่เป่าสังข์เป็นสัญญาณเวลาพระบิดาจะเสด็จสู่โอลิมปัส โดยพระองค์จะมีรูปลักษณ์เป็นคนครึ่งปลา เขาว่าพระองค์เป็นต้นตระกูลของเงือกกรีกด้วย
     พระเทพีทรงมีความเมตตา ความอ่อนโยน สมฐานะราชินีแห่งท้องทะเล ถึงพระสวามีจะออกไปหาเศษหาเลยนอกบ้านก็ไม่บ่นไม่ว่าไม่ตามราวี ตามใจพระสวามีทุกอย่างจะมีพระชายาเก็บ มีพระชายาน้อยจะมีกิ๊กกี่คน มีนางบำเรอเท่าไรไม่ว่า แต่แปลกมากที่พระเทพีกลับมาหึงหวงพระสมุทรภายแค่นางผู้นี้เพียงนางเดียว คือ นางไม้ นามว่า "ซิลลา" พระเทพีหึงหวงขนาดเรียกกันว่า ร้ายลึก เขาว่านางไม้ซิลลามีความเลอโฉมมากมายจนเอาเทพโพไซดอนอยู่หมัด พระเทพีเลยกริ้วเกิดความหึงหวงจึงคอยโอกาสเหมาะที่จะแก้เผ็ดนางไม้นางนี้ และแล้ววันชะตาเคราะห์หนักก็มาถึง เมื่อนางไม้ซิลลาลงอาบน้ำในสระน้ำที่นางอาบเป็นประจำ แทนที่นางจะสบายและชุ่มชื่นกับน้ำเย็นๆสบายๆที่วันนี้กลับไม่ใช่อย่างนั้น พอนางลุกขึ้นจากน้ำเท่านั้น ร่างของนางกลับกลายร่างเป็นปีศาจอสูรกายที่น่ากลัวจนขนาดตัวนางเองยังรับไม่ได้จึงหนีไปอาศัยยังเกาะที่เป็นถ้ำห่างไกลผู้คน และจับคนที่เป็นคนเดินเรือผ่านไปมากินเป็นอาหาร แต่ทำไมนางจึงกลายเป็นปีศาจไปได้? คงไม่ต้องสงสัยอะไรเพราะคงไม่พ้นน้ำมือพระเทพีนี้เอง พระเทพีนำยาพิษมาหยดไว้ในสระน้ำที่เป็นสระน้ำประจำของนางไม้ซิลลานั่นเอง ก็ของใคร ของใครก็หวง    
     เทพโพไซดอนจะมีความเจ้าชู้ไม่แพ้เทพซีอุสผู้เป็นน้องชาย พระองค์ก็เคยทำให้หญิงที่พระองค์มีความสัมพันธ์ด้วยพินาศมาแล้ว ใครจะรู้ว่านางปีศาจเมดูซ่าที่มีผมเป็นงูจะเคยมาชายาของเทพโพไซดอนมาแล้ว แต่ในอดีตนางเป็นเทพธิดาที่มีความงามมาก ซึ่งนางเป็นข้าบาทแห่งเทพีอธีน่าซึ่งนางเองได้ปฏิญาณไว้ว่าจะรักษาความพรหมจรรย์ แต่นางกลับมาถูกเทพโพไซดอนมาเจาะไข่แดงไปเสียนี้ เมื่อเทพีอธีน่าทราบเข้าก็พิโรธสาปให้นางกลายเป็นปีศาจไป
     เหตุที่เทพีอธีน่าลงโทษนางเมดูซ่าอย่างรุนแรงคงอาจมาจากความไม่ลงรอยกันระหว่างลุงกับหลานคู่นี้ ต้องท้าวความว่า เทพเจ้ามีหน้าที่อย่างหนึ่งคือการเป็นเทพประจำเมือง ซึ่งครั้งนั้นมีเมืองเกิดใหม่ขึ้น ซึ่งเมืองนี้เป็นที่ถูกใจของเทพ2พระองค์ คือ เทพโพไซดอน กับ เทพีอธีน่้า ซึ่งไม่ยอมกันเสียที อีกคนก็ไม่ยอม ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน เรื่องจึงเข้าถึงเทพซีอุส ด้วยความยุติธรรมพระองค์จึงให้ทั้งสองประลองว่าใครจะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเมืองนี้ โดยให้ชาวเมืองเป็นผู้ตัดสิน เทพโพไซดอนเนรมิตม้าให้แก่ชาวเมืองก็เป็นที่พอใจของชาวเมือง แต่เทพีอธีน่าทรงเนรมิตต้นมะกอกขึ้น ชาวเมืองกลับเลือกต้นมะกอกเพราะมีประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้น จากนั้นเมืองนี้จึงมีเทพีอธีน่าเป็นเทพประจำ และมีชื่อเมืองว่า "เอเธนท์" เทพโพไซดอนจึงไม่ถูกกับเทพีอธีน่้าตั้งแต่นั้นมา
     ถึงเทพโพไซดอนจะเป็นพี่ชายแห่งเทพซีอุส และดูจะเป็นพี่ชายที่รักน้องชาย แต่แล้วก็ไม่เหมือนอย่างที่คิด ดังอย่างที่กล่าวไปแล้วในตอนเทพีเฮร่า ราชินีแห่งสรวงสวรรค์ ว่าพระองค์ร่วมมือกับเทพีเฮร่า โค่นอำนาจเทพซีอุส แต่อย่างที่เล่าแล้วว่าเป็นการโค่นล้มที่ไม่สำเร็จ เทพซีอุสจึงทรงลงโทษให้เทพโพไซดอนลงจากโอลิมปัสไปเป็นทำงานหนักเยี่ยงมนุษย์โดยไปช่วย ท้าวเลือมมิดอน พระราชาเมืองทรอย สร้างกำแพงโดยมีเทพอะพอลโลที่โดนลงโทษเช่นกันมาช่วย ท้าวเลือมมิดอนเคยกล่าวว่าจะมอบรางวัลอย่างงามแก่เทพโพไซดอนหลังการสร้างกำแพงเสร็จ แต่พอกำแพงทรอยสร้างเสร็จ ท้าวเลือมมิดอนกลับตระบัดสัตย์ เทพโพไซดอนจึงพิโรธเป็นอันมากจึงเรียกสัตว์ร้ายจากท้องทะเลขึ้นมาไล่กินชาวเมือง ชาวเมืองต้องนำสาวพรหมจรรย์มาสังเวยปีละครั้ง จนหญิงสาวหมดเมือง ซึ่งเจ้าหญิงฮีไซโอนีต้องยอมพลีชีพเพื่อบ้านเมือง ท้าวเลือมมิดอนพยายามหาทุกวิถีทางที่ช่วยลูกของตน จึงประกาศหาชายหนุ่มมาปราบ หากผู้ใดปราบได้พระองค์จะมอบรางวัลให้อย่างงาม ในที่สุกเฮอร์คิวลิสก็รับอาสา เฮอร์คิวลิสก็ปราบสัตว์ร้ายได้ลง เมื่อเฮอร์คิวลิสมารับรางวัลพระองค์กลับตระบัดสัตย์เช่นเดิม ท้าวเลือมมิดอนก็สิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือของเฮอร์คิวลิส เพราะความไม่รักษาสัญญาเป็นต้นเหตุของเรื่อง
    ท้าวเลือมมิดอนเคยสัญญาจะมอบลูกวัวท้องแรกทั้งหมดเป็นเครื่องสังเวย นับจากนั้นเทพโพไซดอนจึงเป็นอริกับกรุงทรอยนับแต่นั้นมา...

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-